💥ตอบคำถามท้ายบทที่
1💥
👉ข้อที่ 1. ท่านคิดว่าทำไมมนุษย์เราต้องมีกฎหมายหากไม่มีจะเป็นอย่างไร
กฎหมายคือ คำสั่งหรือ ข้อบังคับที่เกิดจากรัฎฐาธิปไตย์ จากคณะบุคคลที่มีอำนาจสูงสุดของรัฐ เป็นข้อบังคับใช้กับคนทุกคนที่อยู่ในรัฐหรือประเทศนั้น
ๆ ที่จะต้องปฏิบัติตามและมีสภาพบังคับที่มีการกำหนดบทลงโทษ หรือกล่าวได้ว่า กฎหมายคือ
ข้อกำหนดที่คนทุกคนในสังคมต้องปฏบัติไปในทิศทางเดียวกัน
หากผู้ใดฝ่าฝืนหรือไม่กระทำตามข้อบังคับ บุคคลผู้นั้นจะต้องได้รับโทษ แต่หากมนุษย์ไร้ซึ่งกฎหมายที่ใช้ในการอยู่ร่วมกัน
สิ่งที่เกิดขึ้นคือ ประเทศหรือสังคมนั้นจะเกิดความวุ่นวาย
ไม่มีความสงบเกิดขึ้นในประเทศ ผู้คนต่างเห็นแก่ตัว เห็นประโยชน์ของตนเป็นหลัก เกิดการกบฏ
ก่อการร้าย เพราะผู้คนไม่มีสิ่งที่พึงกระทำที่เป็นไปในทิศทางเดียวกัน
👉ข้อที่ 2. ท่านคิดว่าสังคมปัจจุบันจะอยู่ได้หรือไม่หากไม่มีกฎหมายและจะเป็นอย่างไร
สังคมปัจจุบันเป็นสังคมที่มีความทันสมัย มีเทคโนโลยีต่างๆเข้ามามากมาย
ต่างจากในสมัยก่อนหน้านี้
สังคมปัจจุบันจะอยู่ไม่ได้เลยหากไม่มีกฎหมายไว้คอยกำหนดทิศทาง ซึ่งสังคมปัจจุบันนี้เป็นสังคมแห่งการแข่งขัน
ชิงดีชิงเด่น และมีการทุจริตเยอะขึ้น ซึ่งจะส่งผลก่อให้เกิดความขัดแย้ง
เกิดการทะเลาะวิวาท ลองคิดว่าถ้าสังคมปัจจุบันไม่มีกฎหมาย
สังคมคงจะเกิดความวุ่นวาย ไร้ซึ่งคุณธรรม จริยธรรม ไม่มีความเคารพให้กันและกัน
ต่างฝ่ายก็พยายามที่จะเอาชนะให้ได้
👉ข้อที่ 3. ท่านมีความรู้ความเข้าเกี่ยวกับกฎหมายในประเด็นต่อไปนี้
ก.
ความหมาย
กฎหมายคือ คำสั่งหรือ ข้อบังคับที่เกิดจากรัฎฐาธิปไตย์ จากคณะบุคคลที่มีอำนาจสูงสุดของรัฐ เป็นข้อบังคับใช้กับคนทุกคนที่อยู่ในรัฐหรือประเทศนั้น
ๆ ที่จะต้องปฏิบัติตามและมีสภาพบังคับที่มีการกำหนดบทลงโทษ
ข.
ลักษณะหรือองค์ประกอบของกฎหมาย
ลักษณะหรือองค์ประกอบของกฎหมาย ประกอบด้วย 4 ประการ คือ
1.
เป็นคำสั่งหรือข้อบังคับที่เกิดจากรัฎฐาธิปไตย์ที่องค์กรหรือคณะบุคคลที่มีอำนาจสูงสุดอาทิ
รัฐสภาฝ่ายนิติบัญญัติ หัวหน้าคณะปฏิวัติ กษัตริย์ในระบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์
สามารถใช้อำนาจบัญญัติกฎหมายได้ เช่น รัฐสภา ตราพระราชบัญญัติ คณะรัฐมนตรี
ตราพระราชกำหนด พระราชกฤษฎีกา คณะปฏิวัติ ออกคำสั่ง หรือประกาศคณะปฏิวัติชุดต่างๆ
ถือว่าเป็นกฎหมาย
2. มีลักษณะเป็นคำสั่งข้อบังคับ
อันมิใช่คำวิงวอน ประกาศ หรือแถลงการณ์ อาทิ ประกาศของกระทรวงศึกษาธิการ
คำแถลงการณ์ของคณะสงฆ์ ให้ถือเป็นแนวปฏิบัติมิใช่กฎหมาย
3.
ใช้บังคับกับคนทุกคนในรัฐอย่างเสมอภาค
เพื่อให้ทุกคนเกรงกลัวและถือปฏิบัติสังคมจะสงบสุขได้
4. มีสภาพบังคับ
ซึ่งบุคคลจะต้องปฏิบัติตามกฎหมายโดยเฉพาะการกระทำและการงดเว้นการกระทำตามกฎหมายนั้นๆ
กำหนด หากฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติตามฝ่าฝืนอาจถูกลงโทษหรือไม่ก็ได้
และสภาพบังคับในทางอาญาคือ โทษที่บุคคลผู้ที่กระทำผิดจะต้องได้รับโทษ เช่น รอลงอาญา
ปรับจำคุก กักขัง ริบทรัพย์ แต่หากเป็นคดีแพ่ง
ผู้ฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติตามกฎหมายจะต้องชดใช้ค่าสินไหมทดแทน
หรือค่าเสียหายหรือชำระหนี้ด้วยการส่งมอบทรัพย์สินให้กระทำหรืองดเว้นกระทำอย่างใดอย่างหนึ่งตามมูลหนี้ที่มีต่อกันระหว่างเจ้าหนี้และลูกหนี้
ค. ที่มาของกฎหมาย
ที่มาของกฎหมายของประเทศไทย พอที่จะสรุปได้ 5 ลักษณะดังนี้
1. บทบัญญัติแห่งกฎหมาย เป็นกฎหมายลักษณ์อักษร
2. จารีตประเพณี
เป็นแบบอย่างที่ประชาชนนิยมปฏิบัติตามกันมานาน
หากนำไปบัญญัติเป็นกฎหมายลายลักษณ์อักษรแล้วย่อมมีสภาพไปเป็นกฎหมาย
3. ศาสนา เป็นข้อห้ามและข้อปฏิบัติที่ดีของทุกๆ ศาสนาสอนให้เป็นคนดี
4. คำพิพากษาของศาลหรือหลักบรรทัดฐานของคำพิพากษา
ซึ่งคำพิพากษาของศาลชั้นสูงเป็นแนวทางที่ศาลชั้นต้นต้องนำไปถือปฏิบัติในการตัดสินคดีหลังๆ
ซึ่งแนวทางเป็นเหตุผลแห่งความคิดของตนว่าทำไมจึงตัดสินคดีเช่นนี้
อาจนำไปสู่การแก้ไขกฎหมายในแนวความคิดนี้ได้ จะต้องตรงตามหลักความจริงมากที่สุด
5. ความเห็นของนักนิติศาสตร์
เป็นการแสดงความคิดเห็นของว่าสมควรที่จะออกกฎหมายอย่างนั้น สมควรหรือไม่
จึงทำให้นักนิติศาสตร์
อาจจะเป็นอาจารย์ผู้มีชื่อเสียงในกฎหมายได้แสดงความคิดเห็นว่ากฎหมายฉบับนั้นได้
ในประเด็นที่น่าสนใจเพื่อที่จะแก้ไขกฎหมายให้เกิดประโยชน์สูงสุดกับประชาชนดังกล่าว
ง.
ประเภทของกฎหมาย
การแบ่งประเภทกฎหมายที่ใช้ในประเทศไทย ขึ้นอยู่ใช้หลักใดจะขอกล่าวโดยทั่วๆ
ไปดังนี้
1. กฎหมายภายใน
1.1 กฎหมายที่เป็นลายลักษณ์อักษรและไม่เป็นลายลักษณ์อักษร
1.1.1 กฎหมายที่เป็นลายลักษณ์อักษร แบ่งโดยยึดเนื้อหาของกฎหมายที่ปรากฏเป็นหลัก
โดยผ่านกระบวนการบัญญัติกฎหมาย
1.1.2 กฎหมายที่เป็นไม่เป็นลายลักษณ์อักษร
เป็นกฎหมายที่มิได้มีการบัญญัติโดยผ่านกระบวนการนิติบัญญัติ
1.2 กฎหมายที่มีสภาพบังคับทางอาญา และกฎหมายที่มีสภาพบังคับทางแพ่ง
1.2.1 กฎหมายที่มีสภาพบังคับทางอาญา เช่น การประหารชีวิต จำคุก กักขัง ปรับ
หรือริบทรัพย์สิน สภาพบังคับทางอาญาจึงเป็นโทษอย่างใดอย่างหนึ่งหรือหลายอย่าง
ใช้ลงโทษกับผู้กระทำผิดทางอาญา
1.2.2 กฎหมายที่มีสภาพบังคับทางแพ่ง เช่น
การกำหนดให้เป็น โมฆะกรรมหรือโมฆียกรรม การบังคับให้ชำระหนี้
การให้ชดใช้ค่าเสียหาย
หรือการที่กฎหมายบังคับให้ทำอย่างใดอย่างหนึ่งเพื่อความเป็นธรรม
1.3 กฎหมายสารบัญญัติ และกฎหมายวิธีสบัญญัติ
1.3.1 กฎหมายสารบัญญัติ
แบ่งโดยคำนึงถึงบทบาทของกฎหมายเป็นหลัก
1.3.2 กฎหมายวิธีสบัญญัติ กล่าวถึง
วิธีการและขั้นตอนในการใช้กฎหมายบังคับ
1.4 กฎหมายมหาชน และกฎหมายเอกชน
1.4.1 กฎหมายมหาชน
เป็นกฎหมายที่กำหนดความสัมพันธ์ระหว่างรัฐกับประชาชน
1.4.2 กฎหมายเอกชน เป็นกฎหมายที่มีความสัมพันธ์ระหว่างเอกชนด้วยกัน
2. กฎหมายภายนอก
2.1 กฎหมายระหว่างประเทศแผนกคดีเมือง
เป็นกฎหมายที่ว่าด้วยความสัมพันธ์ระหว่างรัฐต่อรัฐในการที่จะต้องปฏิบัติต่อกันและกัน
2.2 กฎหมายระหว่างประเทศแผนกคดีบุคคล
เป็นข้อบังคับที่ว่าด้วยความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลในรัฐต่างรัฐ
2.3 กฎหมายระหว่างประเทศแผนกคดีอาญา
เป็นข้อบังคับที่ประเทศหนึ่งหรือรัฐหนึ่งตกลงยอมรับให้ศาลส่วนอาญาของอีกรัฐหนึ่งมีอำนาจในการพิจาณาลงโทษอาญาแก่บุคคลที่ได้กระทำผิดนอกประเทศนั้นได้
👉ข้อที่ 4. ท่านมีความคิดเห็นอย่างไร ว่า
ทำไมทุกประเทศจำเป็นต้องมีกฎหมาย จงอธิบาย
ที่ทุกประเทศจำเป็นต้องมีกฎหมายก็เพื่อใช้เป็นข้อบังคับ
ควบคุมพฤติกรรมของมนุษย์ในสังคมเพื่อให้เป็นไปในทิศทางเดียวกัน เพราะกฎหมายเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจากสังคมที่คนทุกคนยอมรับร่วมกัน จึงจำเป็นต้องมีกฎเกณฑ์เพื่อกำหนดการปฏิบัติตนให้เหมือนๆกัน
เพื่อทำให้การอยู่ร่วมกันของมนุษย์เป็นไปในทางที่ดี ไม่เกิดความขัดแย้ง
ทำร้ายร่างกาย โดยปัญหาต่างๆที่เกิดขึ้นมีสาเหตุมาจากความความเห็นแก่ตัว คิดแต่ที่จะเอาชนะ
และตนได้เป็นใหญ่ รัฐจึงสร้างกฎเกณฑ์ ระเบียบแบบแผนขึ้นเป็นแนวทางหรือกฎเกณฑ์ต่าง
ๆ เพื่อควบคุมควบความประพฤติสมาชิกในสังคม รวมทั้งเพื่อรักษาความเป็นระเบียบเรียบร้อยในสังคม
👉ข้อที่ 5. สภาพบังคับในทางกฎหมายท่านมีความเข้าใจอย่างไร
จงอธิบาย
เพื่อให้กฎหมายเกิดความศักดิ์สิทธิ์
และประชาชนเคารพเชื่อฟังปฏิบัติตามกฎหมายจึงต้องมีสภาพบังคับ (Sanction) ของกฎหมาย สภาพบังคับของกฎหมาย คือ หากผู้ใดฝ่าฝืนกฎหมาย หรือกติกา
ผู้นั้นจะต้องรับโทษต่างๆในกฎหมาย
👉ข้อที่ 6. สภาพบังคับกฎหมายในอาญาและทางแพ่ง
มีความเหมือนหรือแตกต่างกันอย่างไร
สภาพบังคับทางอาญา
ได้กำหนดวิธีการบังคับไว้ตามสภาพแห่งความผิดและกำหนดโทษแต่ละอย่างไว้ชัดแจ้งตามกฎหมายเฉพาะอย่าง
ที่วางไว้ อาทิ ประมวลกฎหมายอาญา และตามพระราชบัญญัติอื่น มีการกำหนดโทษคือ
ประหารชีวิต จำคุก กักขัง ปรับและริบทรัพย์สิน นอกจากนี้ หากเป็นพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลคดีเด็กและเยาวชน
จะมีสภาพบังคับที่แตกต่างออกไปได้แก่
การส่งตัวเด็กไปยังโรงเรียนหรือสถานฝึกอบรมหรือสถานกักและอบรม เป็นต้น
สภาพบังคับในทางแพ่ง
กฎหมายก็กำหนดไว้เช่นกันได้แก่ การกำหนดให้การกระทำที่ฝ่าฝืนกฎหมายนั้นตกเป็นโมฆะ
หรือโมฆียะ การบังคับชำระหนี้ การริบมัดจำ
การเรียกเบี้ยปรับ การใช้ค่าเสียหายและการยึดทรัพย์ เป็นต้น
👉ข้อที่ 7. ระบบกฎหมายเป็นอย่างไรจงอธิบาย
ระบบกฎหมายเเบ่งออกเป็น 2 ระบบ ดังนี้
1. ระบบซีวิลลอร์ หรือระบบลายลักษณ์อักษร ถือกำเนิดขึ้นในทวีปยุโรปราวคริสต์ศตวรรษที่ 12 เป็นระบบเอามาจาก “Jus Civile” ใช้แยกความหมาย “Jus
Gentium” ของโรมัน ซึ่งมีลักษณะพิเศษกล่าวคือ
เป็นกฎหมายลายลักษณ์อักษรที่มีความสำคัญกว่าอย่างอื่น
คาพิพากษาของศาลไม่ใช่ที่มาของกฎหมาย
แต่เป็นบรรทัดฐานแบบอย่างของการตีความกฎหมายเท่านั้น
เริ่มต้นจากตัวบทกฎหมายเป็นสำคัญ จะถือเอาคาพิพากษาศาลหรือความคิดเห็นของ
นักกฎหมายเป็นหลักไม่ได้ ยังถือว่า กฎหมายเอกชนและกฎหมายมหาชนเป็นคนละส่วนกัน
และการวินิจฉัยคดีผู้พิพากษาเป็นผู้ตัดสินชี้ขาด กลุ่มประเทศที่ใช้กฎหมายนี้
2. ระบบคอมมอนลอว์ (Common
Law System) เกิดและวิวัฒนาการขึ้นในประเทศอังกฤษมีรากเหง้ามาจากศักดินา
ซึ่งจะต้องกล่าวถึงคาว่า “เอคควิตี้ (equity) เป็นกระบวนการเข้าไปเสริมแต่งให้คอมมอนลอว์
เป็นการพัฒนามาจากกฎหมายที่ไม่เป็นลายลักษณ์อักษร นาเอาจารีตประเพณีและคาพิพากษา
ซึ่งเป็นบรรทัดฐานของศาลสมัยเก่ามาใช้
จนกระทั่งเป็นระบบกฎหมายที่มีความสมบูรณ์ในตัวเอง การวินิจฉัยต้องอาศัยคณะลูกขุนเป็นผู้ตัดสินชี้ขาด
ประเทศที่ใช้ระบบกฎหมายนี้
👉ข้อที่ 8. ประเภทของกฎหมายมีกี่ประเภท
และหลักการอะไรบ้าง แต่ละประเภทประกอบด้วยอะไรบ้าง จงยกตัวอย่าง พร้อมอธิบาย
ประเภทของกฎหมาย ที่จะศึกษาแบ่งได้เป็น 3 ประเภทใหญ่
ๆ คือ
1. ประเภทแบ่งตามระบบหรือที่มาของกฎหมาย
2. ประเภทแบ่งตามลักษณะการใช้กฎหมาย
3. ประเภทแบ่งตามบทบัญญัติในกฎหมายที่มีความสัมพันธ์กับประชาชน
1. ประเภทแบ่งตามระบบหรือที่มาของกฎหมาย
1.1 ระบบลายลักษณ์อักษร ( Civil law System ) ประเทศไทยใช้ระบบนี้เป็นหลัก กระบวนการจัดทำกฎหมายมีขั้นตอนที่เป็นระบบ มีการจดบันทึก
มีการกลั่นกรองของฝ่ายนิติบัญญัติคือ รัฐสภา
มีการจัดหมวดหมู่กฎหมายของตัวบทและแยกเป็นมาตรา
เมื่อผ่านการกลั่นกรองจากรัฐสภาแล้ว จะประกาศใช้เป็นกฎหมายโดยราชกิจจานุเบกษา
กฎหมายลายลักษณ์อักษรนี้ ได้แก่ กฎหมายรัฐธรรมนูญ พระราชบัญญัติ พระราชกำหนด
พระราชกฤษฎีกา กฎกระทรวง
1.2 ระบบไม่เป็นลายลักษณ์อักษรหรือจารีตประเพณี ( Common Law
System) เป็นกฎหมาย ที่มิได้มีการจัดทำเป็นลายลักษณ์อักษร ไม่มีการจัดเป็นหมวดหมู่ และไม่มีมาตรา
หากแต่เป็นบันทึกความจำตามขนบธรรมเนียมประเพณีที่ใช้กันต่อๆมา
ตั้งแต่บรรพบุรุษรวมทั้งบันทึกคำพิพากษาของศาลที่พิพากษาคดีมาแต่ดั้งเดิม
ประเทศที่ใช้กฎหมายจารีตประเพณี หรือไม่เป็นลายลักษณ์อักษร ได้แก่
ประเทศอังกฤษและประเทศทั้งหลายในเครือจักรภพของอังกฤษ
2. ประเภทแบ่งตามลักษณะการใช้กฎหมาย
2.1 กฎหมายสารบัญญัติ คือ กฎหมายที่บัญญัติถึงสิทธิและหน้าที่ของบุคคล กำหนด
ข้อบังคับความประพฤติของบุคคลทั้งในทางแพ่งและในทางอาญา โดยเฉพาะในทางอาญา คือ
ประมวลกฎหมายอาญา จะบัญญัติลักษณะการกระทำอย่างใดเป็นความผิดระบุองค์ประกอบความผิดและกำหนดโทษไว้ว่าจะต้องรับโทษอย่างไร
และในทางแพ่ง คือ
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ จะกำหนดสาระสำคัญของบทบัญญัติว่าด้วยนิติสัมพันธ์ระหว่างบุคคลในฐานะต่าง
ๆ ตามกฎหมาย เช่น นิติกรรม หนี้ สัญญา เอกเทศสัญญา เป็นต้น
2.2 กฎหมายวิธีสบัญญัติ คือ
กฎหมายที่บัญญัติถึงวิธีการปฏิบัติด้วยการนำเอากฎหมายสารบัญญัติไปใช้ไปปฏิบัตินั่นเอง
เช่น ไปดำเนินคดีในศาลหรือเรียกว่า กฎหมายวิธีพิจารณาความก็ได้ กฎหมายวิธีสบัญญัติ จะกำหนดระเบียบ
ระบบ ขั้นตอนในการใช้ เช่น กำหนดอำนาจเจ้าหน้าที่ของรัฐในการดำเนินคดีอาญาต่อผู้ต้องหา
วิธีการร้องทุกข์ วิธีการสอบสวนวิธีการนำคดีที่มีปัญหาฟ้องต่อศาล
วิธีการพิจารณาคดีต่อสู้คดี ในศาลรวมทั้งการบังคับคดีตามคำสั่ง
หรือคำพิพากษาของศาล เป็นต้น กฎหมายวิธีสบัญญัติ จะกำหนดไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณา ความอาญา ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งเป็นหลัก
3. ประเภทแบ่งตามบทบัญญัติในกฎหมายที่มีความสัมพันธ์กับประชาชน
3.1 กฎหมายมหาชน เป็นกฎหมายที่รัฐตราออกใช้กำหนดความสัมพันธ์ระหว่างรัฐกับ
ประชาชนการบริหารประเทศ รัฐมีฐานะเป็นผู้ปกครองประชาชนด้วยการออกกฎหมายและให้ประชาชนปฏิบัติตามกฎหมาย
เพื่อให้เกิดความสงบเรียบร้อยแก่สังคม
จึงตรากฎหมายประเภทมหาชนซึ่งเกี่ยวข้องกับประชาชนเป็นส่วนรวมทั้งประเทศ
และทุกคนต้องปฏิบัติตามกฎหมายการไม่ปฏิบัติตามกฎหมายจะมีผลกระทบต่อบุคคลของประเทศเป็นส่วนรวม
จึงเรียกว่า กฎหมายมหาชน กฎหมายประเภทนี้ ได้แก่ กฎหมายรัฐธรรมนูญ กฎหมายปกครอง
เช่น พระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน กฎหมายอาญา เป็นต้น
3.2 กฎหมายเอกชน เป็นกฎหมายที่กำหนดความสัมพันธ์ระหว่างเอกชนกับเอกชน
ด้วยกันเอง เป็นความสัมพันธ์ในเรื่องสิทธิและหน้าที่ระหว่างคู่สัญญา คือ
เอกชนด้วยกันเอง รัฐไม่ได้เข้าไปยุ่งเกี่ยวด้วย เพราะไม่มีผลกระทบต่อสังคมส่วนรวม จึงให้ประชาชนมีอิสระกำหนดความสัมพันธ์ระหว่างกันภายในกรอบของกฎหมายเพื่อคุ้มครอง
👉ข้อที่ 9. ท่านเข้าใจถึงคำว่าศักดิ์ของกฎหมายคืออะไรมีการแบ่งอย่างไร
ศักดิ์ของกฎหมาย คือ การจัดลำดับฐานะหรือความสูงต่ำของกฎหมาย
โดยมีหลักในการตีความว่า กฎหมายที่มีศักดิ์ต่ำกว่า คือ
มีลำดับชั้นต่ำกว่าจะขัดหรือแย้งต่อกฎหมายที่มีศักดิ์สูงกว่า
หรือมีลำดับชั้นสูงกว่ามิได้
ดังนั้นกฎหมายที่มีศักดิ์หรือลำดับชั้นต่ำกว่าหรืออาจเรียกอีกอย่างว่ากฎหมายลูก
จะต้องออกหรือตราออกมาให้มีข้อความสอดคล้องกับกฎหมายที่มีลำดับศักดิ์สูงกว่า
ซึ่งเป็นกฎหมายแม่ให้อำนาจกฎหมายลูกไว้
หากบัญญัติออกมามีข้อความขัดแย้งหรือฝ่าฝืนบทบัญญัติของกฎหมายแม่แล้ว
จะมีผลให้กฎหมายลูกที่มีศักดิ์ต่ำกว่าใช้บังคับมิได้ ดังนั้น
ศักดิ์ของกฎหมายจึงหมายถึง ลำดับฐานะหรือความสูงต่ำของกฎหมายที่มีความสำคัญสูงกว่าหรือต่ำกว่ากัน
การจัดแบ่งลำดับชั้นของกฎหมายไทยสามารถจัดแบ่งลำดับชั้น ออกเป็น
7 ประเภท ดังนี้
1. รัฐธรรมนูญ
เป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศ
กฎหมายใดขัดแย้งไม่ได้
โดยจะมีเนื้อหาเกี่ยวกับการใช้อำนาจอธิปไตย ความสัมพันธ์ระหว่างสถาบันการเมือง สิทธิเสรีภาพของประชาชน
2. พระราชบัญญัติ
ประมวลกฎหมาย เป็นกฎหมายที่รัฐสภาตราขึ้น
3. พระราชกำหนด
เป็นกฎหมายที่พระมหากษัตริย์ทรงตราขึ้นตามคำแนะนำของคณะรัฐมนตรีตามบท
บัญญัติในรัฐธรรมนูญใช้ในกรณีจำเป็นรีบด่วนหรือเรื่องที่จะรักษาความมั่นคงในทางเศรษฐกิจ ความปลอดภัยของประเทศ แต่ต้องเสนอต่อรัฐสภาโดยเร็ว
4. พระราชกฤษฎีกา
เป็นกฎหมายที่ตราขึ้นโดยพระมหากษัตริย์ตามคำแนะนำของคณะรัฐมนตรี
เพื่อกำหนดรายละเอียดตามพระราชบัญญัติที่กำหนดไว้
5. กฎกระทรวง
เป็นกฎหมายที่รัฐมนตรีตราขึ้นผ่านคณะรัฐมนตรีเพื่อดำเนินการให้เป็นไปตามพระราชบัญญัติหรือพระราชกำหนด
6. ข้อบังคับหรือข้อบัญญัติ
เป็นกฎหมายขององค์กรปกครองท้องถิ่น เช่น เทศบาล กรุงเทพมหานคร เมืองพัทยา เป็นต้น
7. ประกาศคำสั่ง
เป็นกฎหมายเฉพาะกิจ เช่น
พระบรมราชโองการ ประกาศคณะปฎิวัติ คำสั่งหน่วยงานราชการ เป็นต้น
ที่มา: http://www.thailaws.com/aboutthailaw/thai_04.htm
👉ข้อที่ 10. เหตุการณ์เมื่อวันที่ 24 พฤศจิกายน 2555 มีเหตุการณ์ชุมนุมของประชาชน ณ
ลานพระบรมรูปทรงม้าและประชาชนได้ประกาศว่าจะมีการประชุมอย่างสงบแต่ปรากฏว่ารัฐบาลประกาศเป็นเขตพื้นที่ห้ามชุมนุมและขัดขวางไม่ให้ประชาชนชุมนุมอย่างสงบ
ลงมือทำร้ายร่างกายประชาชนในฐานะท่านเรียนวิชานี้ท่านจะอธิบายบอกเหตุผลว่ารัฐบาลกระทำผิดหรือถูก
ในความคิดเห็นส่วนตัวคิดว่าทางฝ่ายรัฐบาลกระทำความผิด
เพราะประเทศไทยเป็นประเทศที่ยึดการปกครองแบบประชาธิปไตยมาอย่างยาวนาน
ซึ่งการปกครองแบบประชาธิปไตยเป็นการบริหารอำนาจรัฐมาจากเสียงข้างมากของพลเมืองผู้เป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตย โดยพลเมืองอาจใช้อำนาจของตนด้วยตนเองหรือผ่านผู้แทนที่เลือกไปใช้อำนาจแทนก็ได้
ประชาธิปไตยยังเป็นอุดมคติที่ว่าพลเมืองทุกคนในชาติร่วมกันพิจารณากฎหมายและการปฏิบัติของรัฐ
และกำหนดให้พลเมืองทุกคนมีโอกาสแสดงความยินยอมและเจตนาของตนเท่าเทียมกัน
ดังนั้นแล้ว ประชาชนมีสิทธิ์ที่จะแสดงสิทธิเสรีภาพของตนเอง แต่จะต้องไม่ขัดต่อกฎหมายที่กำหนดไว้
และหากประชานชนไม่ได้กระทำการใดๆที่ผิดต่อกฎหมาย
รัฐบาลจึงไม่มีสิทธิที่จะทำร้ายร่างกายประชาชน
👉ข้อที่ 11. ท่านมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับคำว่ากฎหมายการศึกษาอย่างไรจงอธิบาย
กฎหมายการศึกษา คือ กฎหมายที่มีบทบัญญัติตามรัฐธรรมนูญที่เกี่ยวข้องกับกฎ หรือคำสั่ง
หรือข้อบังคับของรัฐที่เกี่ยวข้องกับการศึกษาที่สถาบัน หน่วยงานผู้มีอำนาจ
ได้ตราขึ้นและมีผลบังคับใช้ และกฎหมายการศึกษา ได้กำหนดเพื่อให้บุคคลประพฤติปฏิบัติตามนำไปสู่การพัฒนาคนและสังคมสู่ความเจริญงอกงาม
ธำรงไว้ซึ่งอิสรภาพ เสรีภาพของบุคคลและ ประเทศชาติ
👉ข้อที่ 12. ในฐานะที่นักศึกษาเรียนวิชานี้ ถ้าเราไม่ศึกษากฎหมายการศึกษา
ท่านคิดว่าเมื่อท่านไปประกอบอาชีพครูจะมีผลกระทบต่อท่านอย่างไร
ในฐานะที่เรียนวิชานี้
หากไม่ได้ศึกษากฎหมายการศึกษาอาจจะมีผลกระทบในหลายๆด้าน เช่น หากกระทำการที่ไม่เหมาะสม
ไม่รู้ถึงแนวทางข้อปฏิบัติหรือข้อละเว้นในการเป็นข้าราชการครู หากไม่รู้กฎเกณฑ์หรือแนวทางการปฏิบัติอาจส่งผลกระทบต่อตัวเอง
บุคคลรอบข้าง และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ซึ่งอาจจะทำให้เสื่อมเสียชื่อเสียง
หรือถึงขั้นต้องออกจากการเป็นข้าราชการ เพราะอาชีพครูเป็นอาชีพที่มีหน้าที่ในการอบรมสั่งสอน
และเป็นแบบอย่างที่ดีต่อศิษย์ ดังนั้น จึงจำเป็นต้องมีกฎหมายการศึกษามาเป็นกรอบแนวทาง
การปฏิบัติ และข้อบังคับเพื่อให้บุคลากรทางการศึกษายึดปฏิบัติให้เป็นในทิศทางเดียวกัน
และการดำเนินงานต่างๆของบุคคลากรทางการศึกษาเป็นไปอย่างราบรื่น และมีบทลงโทษสำหรับผู้กระทำความผิด